บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2016

อ. กบ vs มหาแซม

รูปภาพ
ยังคงจำกันได้ไหมครับ กับ มหาแซม ผู้โด่งดังที่สร้างโปรแกรม "มหาหมอดู" จนถึงขั้นติดอันดับในแผ่น Quick PC ที่พันธ์ทิพย์ และโดนกอปแผ่นขาย ตามงานกาชาติ งานปีใหม่ เทศกาลต่างๆ มากมาย จน มหาแซม ต้องหันไปทำไร่ ไถนา เผาถ่านขาย ในที่สุด โชคชะตา ฟ้าลิขิตให้ผมได้มารู้จักกับ มหาแซม ในโลกออนไลน์ และเราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดีย มุมมอง ทัศนคติต่างๆ มากมาย บนคำว่า "ต่างคน ต่างคิด" ด้วยความที่เรามีหลายสิ่งที่ เหมือนกัน นั่นคือ "เขียนโปรแกรม" ขึ้นมาเอง แล้วทำการ "ขาย" มัน และในที่สุดสิ่งนั้นก็เลี้ยงตัวเราได้ มีกิน มีใช้ จากการขายโปรแกรม นอกจากนี้ ผมและ มหาแซม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ "ทำคนเดียว" และ อยู่อย่างสันโดษ คนเดียว กิจการโตขึ้น ยอดขายมากขึ้น ลูกค้ามากขึ้น แต่เรา ก็ยังคงอยู่ "คนเดียว" เช่นเดิม... หลายๆ คำถาม ที่ผมอยากรู้ มันเยอะเหลือเกิน ผมไม่รอช้า ออกเดินทางไปพบ มหาแซม ร่วมรับประทานอาหารกัน อาหารมื้อนั้น อร่อยที่สุดในชีวิตผม ตั้งแต่เคยกินข้าวมา เพราะได้สนทนาธรรม และอะไรอีกมากมาย จากบุคคลที่ผมยกให้เป็น "ไอดอล&quo

การเขียนโปรแกรม กับความเป็นจริง

สำหรับบทความนี้ ผมชั่งใจอยู่นาน ว่าจะเขียนดีหรือไม่ เพราะมันอาจไปกระทบกับ "บทความ" หรือแนวคิด ของใครบางกลุ่ม ... ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่า หลายๆ หน่วยงาน พยายามหันมาใช้ Software เพื่อทดแทนการใช้กระดาษ ก็ด้วยเหตุผลมากมาย หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่ากระดาษ ลดขั้นตอนทำงาน ลดระยะเวลา ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ย้อนหลัง และสืบค้นได้อย่างรวดเร็ว และอีกสารพัดเหตุผล ที่ทำให้ Software เป็นที่ต้องการ มากยิ่งขึ้น ... ที่สำคัญคือ การแข่งขันในทางธุรกิจ สมัยนี้ไม่ใช่แค่การลดต้นทุนการผลิต แต่มันคือ ความรวดเร็วในการวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งยอดขาย การตลาด ลูกค้า พนักงาน และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย ... ด้วยเหตุผลมากมาย ที่ผมเล่ามาเมื่อกี้ นั่นก็หมายความว่า เครื่องมือการเขียนโปรแกรม มันก็มีการพัฒนา ให้ทันต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้ว การเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันนี้ สิ่งสำคัญคือการรู้ เข้าใจ ในเครื่องมือ และนำมาประยุกต์สร้างงาน เพื่อเอาไปตอบโจทย์แก่ลูกค้า หรือผู้ใช้งานระบบนั่นเอง ... บทความนี้จึงกำลังบอกแก่ผู้อ่านว่า ในการสร้างโปรแกรม คุณไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปของภาษา

เยือนลาวครั้งที่ 2 กับเรื่องราว 12 วัน นครหลวงเวียงจันทร์

สวัสดีครับ รอบนี้ผมได้ไปเวียงจันทร์ อีกครั้ง โดยไปสอนการเขียนโปรแกรม JAVA ให้กับนักศึกษา วิทยาลัย สุดสะกะ นครหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว เรื่องราวเป็นอย่างไร มาดูกัน ... ออกเดินทาง ผมออกเดินทางจากห้องพัก ที่อุบล เวลา 04.30 รถออกเวลา 05.30 ก็ค่อนข้างฉุกละหุก เพราะว่ามีการเอาหนังสือไปจำหน่ายที่นั่นด้วย แล้วบังเอิญหนังสือเยอะเกินกว่าจะขนไปได้ ก็เลยให้น้องสาว ส่งไปกับ บขส. อีกที ค่อยให้เขาส่งต่อเข้าไปใน วิทยาลัยให้ ผมเดินทางด้วยรถทัวร์ ไปลงที่อุดร ใช้เวลาราวๆ 7 - 8 ชั่วโมง จากนั้นก็ต่อรถไป หนองคาย แล้วเข้าที่เวียงจันทร์อีกที การเดินทางครั้งนี้สะดวกราบรื่น กว่าครั้งก่อน เพราะรู้ขั้นตอนแล้ว รวมกับผมมี passpot แล้วเรียบร้อย ... เที่ยวก่อนสอน 2 วัน ผมไปถึงก่อนเวลาสอนจริง 2 วัน ก็เลยขอโอกาสเที่ยวเมืองลาวซะหน่อย เริ่มแรกก็โดนเลี้ยงต้อนรับด้วย ซิ้นดาด (อร่อยมาก ชอบผักสด) จากนั้นก็มาต่อ คาราโอเกะ หน้าที่พัก เมากันจนดึกเลยทีเดียว สาวลาวน่ารักด้วยนะ วันต่อมา ก็ไปห้าง เวียงจันทร์เซนเตอร์ เพื่อเดินเล่น และตีปิงปอง ที่นั่น ได้รับการต้อนรับอย่างดี จากทีมนักกีฬาของลาว และแน่นอน เหนื่อยเอาเรื่อง เพร

อีกด้านของความคิด

คุณตา คุณยาย ของผมทำนา ท่านไม่เคยได้สอนการทำธุรกิจ อะไรให้ผม พ่อรับราชการทหาร ส่วนแม่แต่เดิมนั้น ทำงานล้างถ้วย ร้านก๋วยเตี๋ยว ทั้งสองท่าน ก็ไม่เคยได้สอนธุรกิจให้กับผม แต่ทั้งหมด ได้สอนสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีค่าอย่างมาก ในการทำธุรกิจ ที่ทำให้ก้าวมาจนถึงตรงนี้ได้ นั่นก็คือ "ความอดทน ซื่อสัตย์ และไม่อายใคร ในสิ่งที่เราทำอยู่" ไม่เพียงแค่สอน แต่ทุกท่าน ทำตัวเป็นตัวอย่าง ของคำว่าอดทน ให้ผมเข้าใจได้ มันคือ อด = ยอมรับที่จะกินอย่างลำบาก อยู่ลำบาก ไม่มีสิ่งที่คนอื่นมี ทน = ทนต่อสภาพแวดล้อม สายฝน แสงแดด คำพูดคน ความสิ้นหวัง ... ทั้งหมด ทั้งปวง ความอดทน และมานะ ความเพียร จะนำเราไปสู่ความสำเร็จได้ เก่งแค่อย่างเดียว รอดยาก ในโลกธุรกิจ เพราะผม ได้เห็นหลายต่อหลายคน รอบตัวมาทำแบบผม แล้วเจ้งกันไปเป็นแถบ ไม่ใช่พวกเขาไม่เก่ง แต่พวกเขา อด + ทน ไม่พอ ... ผมไม่เคยอาย ที่จะบอกว่า ตายายผม เป็นชาวนา ไม่เคยอาย ที่จะบอกว่า บ้านผมจน และก็ไม่เคยอาย ที่จะบอกว่า ตอนนี้ผมก็ยังจนอยู่ ... จนถึงนาทีนี้ ผมยังนั่งเขียนโปรแกรม อยู่เหมือนเดิม ยังขับม

เทคนิคการทำโปรแกรมขาย

วันนี้ผมแค่อยากเขียนบทความเล็กๆ น้อยๆ ไว้อ่าน ในวันหนึ่งที่มองย้อนกลับมา นี่อาจเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างการเดินทางของผม จากก้าวเล็กๆ ของผู้ชายธรรมดา ที่ไม่มีอะไร   การที่จะทำโปรแกรมขายนั้น เทคนิค ไม่มีอะไรมาก ผมไม่เคยได้อ่านตำรา หรือเข้าคอร์สอะไรกับใครทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดผมเรียนรู้จากสนามจริง เจ็บจริง ลองผิด ลองถูก ทดสอบวิธีการต่างๆ มากมาย ล้มก็หลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้ค้นพบ ข้อเท็จจริงที่จะนำมาสรุปจากประสบการณ์เขียนโปรแกรมขายของผม ทั้งหมดกว่า 12 ปี   นี่ไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นเพียงแค่การบอกเล่า ผ่านคนธรรมดา ที่เลี้ยงชีพด้วยการขายโปรแกรม ที่ตัวเองสร้าง อย่างน้อยผมก็อยู่แบบนี้มาได้ 7 ปีแล้ว โดยไม่ต้องทำงานประจำ รับเงินเดือนจากใคร และก็มีรายได้ต่อปี มากพอที่จะซื้อสิ่งต่างๆ ที่อยากได้ พร้อมกับเลี้ยงครอบครัวไม่ให้อดอยากได้ สรุปเทคนิคการเขียนโปรแกรมขาย ออกเป็นหัวข้อหลักๆ 3 ข้อดังนี้นะครับ (เผื่อใครอยากทำ ก็ลองนำไปใช้ดู)   1. สร้างโปรแกรม ที่ผู้คนรู้จักอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดสร้างสิ่งใหม่ เพราะของใหม่ตีตลาดนาน คนไม่รู้จัก ต้องทำให้พวกเขาเข้าใจ กว่าจะถึงตรงนั้น ถ้าเงินไม่หนาพอคุ

สิ่งที่ Programmer จำนวนมาก ไม่เข้าใจ

บทความนี้ของผม อาจรุนแรงไป แต่ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง มองกันชัดๆ ย้อนกลับไป ในการสร้างโปรแกรม หรือสร้างอะไรก็ตาม เราต้องมีผู้สร้าง และเหล่า Software ทั้งหลายนั้น ก็ถูกสร้างจากกลุ่มคนที่เรียกว่า Programmer จริงแล้ว มันไม่ใช่ตำแหน่ง มันเป็นเพียงคำเรียก ที่ผู้คนใช้เรียกคนสร้างโปรแกรม เพื่อให้เข้าใจ บาง Software อาจถูกสร้างจาก คนล้างจาน คนเผาถ่าน รปภ. ที่เลิกงาน แล้วมาเขียนโปรแกรมเล่นๆ บางคนก็อาจทำจริงจัง แต่ด้วยสภาพการเงิน และความพร้อมหลายอย่าง ไม่อำนวย ก็เลยต้องสร้างโปรแกรม หลังเลิกงาน (บางคนก็สร้างในเวลางาน) ... ทั้งหมด ที่เล่ามานี้ ผมกำลังท้าวความ เข้าสู่เรื่อง ที่จะเขียนจริงๆ Programmer หลายคน พยายามอย่างมาก ที่จะเรียนรู้ ศึกษา เทคโนโลยี เครื่องมือ ไลบราลี่ ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น NodeJS, Ajax, JavaFX, MongoDB, Express, LINQ, AngularJS และอะไรอีกมากมาย สารพัดไปหมด รวมไปจนถึง การเข้าจัดการกับฐานข้อมูลผ่านทาง Command, Migration ด้วย ที่ผมกำลังสื่อก็คือ มันมากมายมหาศาล จนทำให้บางคน เอาแต่เรียนรุ้สิ่งใหม่ๆ ที่มันก็แค่ วิ่งมา แล้ววิ่งจากเราไป ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั

9 วันที่ประเทศลาว นครหลวงเวียงจันทร์

ผมขอเขียนบทความนี้ไว้เพื่อเป็นการแบ่งปัน ประสบการณ์ เล็กๆ น้อยๆ ของผมนะครับ ที่นั่นอาหารการกิน แพงกว่าที่เมืองไทยเรา อย่างมาก เอาแค่ข้าวราดแกงธรรมดาเลย ก็จานละเกือบร้อยบาท ส่วนอาหารอื่นๆ อย่างเข่นลาบหมู ก็จานละ 300 กว่าบาท ที่ทุกอย่างแพงหมด ก็เพราะว่า เขาต้องนำเข้าจากไทย ไปผลิตจำหน่ายในลาว ดังนั้นราคาก็เลยสูงลิบลิ่ว ส่วนค่ารถตุ้กๆ ก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน ระยะทางแค่ 2 กิโล คิดเกือบ 200 บาท สรุป ที่นี่ ค่าครองชีพสูงกว่าไทยเราเยอะเลยครับ และค่าแรงคนที่นี่ก็ไม่มากมาย เหมือนบ้านเรา คือเงินเดือนไม่ถึงหมื่น อันนี้เป็นเรทปกติ บางอาชีพ บางตำแหน่ง ก็จะได้หมื่นกว่าๆ อยู่ครับ (แต่บ้านเราสูงกว่านี้มาก) ถนนหนทาง การจราจร ไม่แออัดอย่างที่คิด ค่อนข้างโล่ง วิ่งข้ามได้เลย สบายๆ ไม่ซีเรียส ที่ผมชอบมากคือร้านเบียร์ ร้านเหล้าครับ มีไม่มากก็จริง แต่บรรยากาศดีมาก หากใครจะไปเที่ยวขอแนะนำ ร้านมุมสบาย อันนี้ชิวๆ หน่อย มีดนตรีสด (ก็ร้องเพลไทยแหละ) ให้ฟัง หากชอบดูสาว สวยๆ ขาวๆ หุ่นเป้ะ นี่เลยครับ ร้านขอบใจเด้อ ถ้าชอบหรูหรา ฝรั่งนั่งเยอะ ต่างชาติไปเพียบ ก็ร้าน Mix ครับผม และถ้าใครชอบแนวผับ เสียงดังๆ คนเบีย

จากอุบล สู่เวียงจันทร์ ประเทศลาว กับการเดินทางต่างประเทศครั้งแรก

ผมมีภาระกิจไปสอน Yii2 + AngularJS ที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว เช้านี้ตื่นตั้งแต่ 6.00 เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว ออกเดินทางไปยังประเทศลาว ซึ่งตอนเช้าน้องจอยก็มาปลุก และขับรถไปส่งผม กับโฮป ที่ บขส. อุบลราชธานี จากนั้นก็นั่งรถมาเรื่อยๆ เพื่อเดินทางไปยัง จังหวัดหนองคาย โอ้ววว นานมาก เรามาถึงหนองคายกันเวลา 15.30 ครับ มาถึงก็บ่นหิวข้าว เลยไปจัดอาหารตามสั่ง คนละจานก่อน เพื่อจะได้มีแรงเดินทางกันต่อ ค่ารถในขั้นตอนแรก อุบล หนองคาย ก็คนละ 380 บาทครับ มาถึงตรงนี้เราก็นั่งรถรับจ้าง อีกคนละ 50 บาท เพื่อไปยังสะพานมิตรภาพ ไทย ลาว ขั้นตอนการทำบัตรต่างๆ เพื่อให้ผ่านมายังฝั่งลาวนั้น ยุ่งยากมาก เอกสาร หลายขั้นตอนไปหมด รวมๆ หมดค่าจัดทำเอกสาร จนสองเท้าแตะประเทศลาว ก็หมดไปอีก คนละ 200 อ้อ แล้วก็มีค่ารถโดยสาร จากไทย มายังลาว คนละ 20 บาท สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือ 600 บาท ก็มาถึงประเทศลาวพอดี ... พอมาถึง ก็ทำหน้างงๆ เพราะคนที่จะมารับผม ไม่รู้เขาอยู่ตรงไหน แต่พอดี มองไปเห็นเสื้อของเขามีคำว่า 108job.la พอดี ก็เลย อ้อ ต้องใช่แน่ เพราะว่าบริษัทที่เชิญผมมาอบรม คือบริษัท 108 ประเทศลาว ซึ่งก็จริงครับ เขาก็ต้อนรับอย่า

เป้าหมายปี 2016 นี้

เป็นประจำทุกปี ที่จะต้องทำการประกาศเป้าหมาย เพื่อให้ตัวเองมีเข็มทิศว่าจะเดินไปทางไหน 1. ทำ iService รุ่น Desktop 2. พัฒนา jPOS ให้ไปถึงระดับ E-Commerce 3. ทำระบบบน คลาว ให้ใช้แบบ per user 4. ออกโปรดักใหม่ๆ มาอีกสัก 5 โปรดัก เพื่อขายแบบ Software Package 5. ออกสื่อการสอนออนไลน์สัก 3 คอร์ส 6. เขียนหนังสือออกมาจำหน่าย สัก 3 เล่ม 7. จัดทำเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมาเพิ่มอีกอย่างน้อย 3 เว็บ yiitut, pingpongthailand, ... 8. ทำ App Android เข้าสโตอย่างน้อย 5 App 9. ผ่อนรถ Honda City ให้หมดในสิ้นปีนี้ 10. เพิ่มน้ำหนักตัวให้ไปถึง 85 กิโล และฟิตเนสให้เข้มข้นกว่าเดิม (ขอกล้ามใหญ่ ชัด กว่านี้) 11. เดินทางไปต่างประเทศ อย่างน้อย 2 ประเทศ 12. ปรับเว็บ PingpongSoft ใหม่ และทำเว็บ JavaThailand ให้มียอด UIP 500+ ต่อวัน ดูเยอะเหมือนกันนะ แต่ทุกๆ ปีก็ทำได้เกือบจะครบทุกข้อ ปีนี้มาลองกัน ว่าจะได้หรือเปล่า ประกาศเป้าหมาย -> ทบทวน -> ลงมือทำ -> ตรวจสอบความคืบหน้า เชื่อมาตลอดว่า ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ความเก่ง แต่ต้องชัดเจนในเป้าหมาย และอดทน ยืนหยัดฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามา ปัญญา ต้องมาพร้อม สติ